การตัดสินคดี "มาบตาพุด" และ "แม่เมาะ" ของศาลปกครองจังหวัดระยอง และศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม และอาจจะเป็นก้าวแรกของการสร้างมาตรฐานการอยู่ร่วมกัน ระหว่างอุตสาหกรรมกับสังคมไทย
เพราะไม่ว่าจะมองอนาคตประเทศไทยอย่างไร ก็หนีไม่พ้นการมีอุตสาหกรรมเป็นภาคการผลิตใหญ่ของสังคม การสร้างมาตรฐานที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกัน โดยที่อุตสาหกรรมไม่ทำร้ายผู้คนจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ผู้ถูกฟ้องในคดี "มาบตาพุด" คือ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงหลักอีกเก้ากระทรวงเป็นกรรมการ และมีผู้ทรงอำนาจในการจัดการระบบเศรษฐกิจไทย ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย
ความผิดของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้แก่ ละเลยไม่ประกาศให้พื้นที่ตำบลมาบตาพุด และเทศบาลเมืองมาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
ที่น่าสนใจก็คือ การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไม่ยอมประกาศดังกล่าวก็เพราะอ้างว่า โรงงานอุตสาหกรรมเกือบทั้งหมดให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษตามแผน ปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษ ซึ่งศาลปกครองตัดสินว่าคณะกรรมการไม่มีอำนาจใช้ดุลยพินิจโดยอ้างเหตุผลดัง กล่าว เพราะเป็นเรื่องรีบด่วนที่ต้องดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษโดยเร็วที่สุด
ที่สำคัญ ศาลปกครองยังได้ยกรายละเอียดของความพยายามแก้ปัญหาของคณะกรรมการที่ให้ตั้ง คณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหา "หายนะ" ของพื้นที่ แต่คณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลับจัดหาเงินงบประมาณมาจากผู้ประกอบการในพื้นที่ (รวมทั้งรายได้ของ กอน. ก็มาจากผู้ประกอบการในพื้นที่)
ดังนั้น "ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ออกเงินให้โครงการไม่เห็นด้วยในการประกาศ ให้เป็นเขตควบคุมมลพิษเนื่องจากเกรงจะเสียภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้ก่อมลพิษ ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่มีการประกาศพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุม มลพิษ" (ประชาไท 4/3/2552)
กรณีของเหมือง "แม่เมาะ" นั้น ศาลปกครองได้ตัดสินในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การยอมรับว่าชาวบ้านเจ็บป่วยจากกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าจริง ซึ่งทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้าน และที่สำคัญอีกประการได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตไม่ได้ปฏิบัติตาม ไม่ทำตามเงื่อนไขประทานบัตร และมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การตัดสินยอมรับความเจ็บป่วยของชาวบ้านว่า มาจากกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนี้สำคัญมาก เพราะเท่าที่ผ่านมา การบิดเบือนเรื่องความเจ็บป่วยของชาวบ้านมาโดยตลอด รวมทั้งข้ออ้างว่าทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้มีเครื่องมือป้องกันมลพิษแล้ว ซึ่งก็เป็นข้ออ้างที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
การตัดสินของศาลปกครองทั้งสองคดีถือได้ว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะความรุนแรงของผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อชาวบ้านในพื้นที่และ สังคมไทยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว พี่น้องที่มาบตาพุดและแม่เมาะเจ็บป่วยมาเนิ่นนาน แต่ความ "หายนะ" ที่เกิดแก่ชีวิตชาวบ้านกลับถูกกลไกอำนาจรัฐเล่นกลเข้าข้างภาคการผลิต อุตสาหกรรมมาโดยตลอด
การเล่นกลตบตาสังคมไทยในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา ก็เป็นเช่นเดียวกันเกมที่ กนอ. ได้เล่นในกรณี "มาบตาพุด" ก็คือ การใช้เงินของผู้ก่อความเสียหายจ้างบริษัทเอกชนให้ทำรายงานผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางด้านสังคม ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าบรรดาบริษัทรับจ้างศึกษาผลกระทบทั้งหลาย ก็ทำหน้าที่เป็น "มือปืนรับจ้าง" ที่ศึกษาปัญหาทุกอย่างให้ออกมาว่าไม่มีปัญหาหรือทุกอย่างแก้ไขได้ (ตามที่กลุ่มบริษัทผู้ก่อความเสียหายต้องการ)
จนถึงท้ายที่สุด ก็คือ กลไกอำนาจรัฐที่ยอม "ซูเอี๋ย" กับการผลิตภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้อำนาจวินิจฉัยที่เกิดขอบเขตของตน ดังที่ศาลปกครองระยองได้ชี้ให้เห็นว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน) ได้ทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
การตัดสินของศาลปกครองทั้งสองจังหวัด จะต้องได้รับการสานต่อจากสังคม โดยจะต้องร่วมกันทำให้การใช้อำนาจการวินิจฉัยของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาตินั้นต้องถูกตรวจสอบโดยสังคม การใช้อำนาจวินิจฉัยในเรื่องสิ่งแวดล้อมจะต้องประกาศต่อสาธารณะ และต้องให้โอกาสและอำนาจแก่ชาวบ้านที่จะสามารถคัดค้านได้
การทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม จะต้องให้เกิดการจัดการที่แม้ว่างบประมาณที่จะทำการประเมินผลกระทบนั้นจะมา จากผู้ก่อความเสียหายก็ตาม แต่งบประมาณนั้นจะต้องถูกส่งมายังคณะกรรมการที่เป็นกลางในการพิจารณาทั้ง ระเบียบวิธีการประเมิน และผลการประเมิน ตัดสายใยเชื่อมโยงระหว่างผู้ก่อความเสียหายกับบริษัทผู้รับจ้างทำรายงานประเมินผลกระทบ
ทั้งนี้ เพื่อบังคับให้บริษัท "มือปืนรับจ้าง" ในการทำรายงานการประเมินผลกระทบนี้ต้องซื่อสัตย์กับความเป็นจริงและสัจจะทาง วิชาการมากกว่าที่จะต้องยอมทำตามเจ้าของเงินงบประมาณอย่างที่ผ่านมา
ก้าวแรกของการดูแลปัญหาความ "หายนะ" ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาอุตสาหกรรมจะเป็นก้าวแรกที่จะเดินต่อไปได้หรือจะ สะดุดหกล้ม ขึ้นอยู่กับสังคมจะช่วยกันกดดันคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ยอมรับคำ ตัดสินนี้หรือไม่ หากคณะกรรมการชุดนี้ยังคงอุทธรณ์ ก็หมายความว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมของสังคม ไม่ว่าจะอ้างว่าต้องอุทธรณ์เพราะเป็นเรื่องของระบบหรืออ้างด้วยเหตุผลใดก็ ตาม ก็ตราหน้าไว้ได้เลยว่าไม่จริงใจต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อม
สุดท้ายต้องขอขอบคุณพี่น้องมาบตาพุดและแม่เมาะที่ไม่ยอมแพ้แก่แรงกดดัน นานัปการในช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา และต้องขอบคุณกลุ่มทนาย (คุณสุรชัย ตรงงาม และทนายท่านอื่นๆ) และทุกฝ่ายที่ได้ร่วมกันสร้างมาตรฐานที่งดงามแก่สังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลปกครองทั้งสองจังหวัด
ที่มา http://www.dlo.co.th/node/180